อาหารแช่แข็ง...กินอย่างไรไม่ให้เกิดโทษ | |
25 พ.ย. 2552 - 22:13 |
ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ต้องเร่งรีบ เน้นความสะดวก รวดเร็วในทุกๆ เรื่องของการดำเนินชีวิตประจำวัน แม้กระทั่งเรื่องของอาหารการกิน ดังนั้นรูปแบบการบริโภคของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในเมืองจึงเปลี่ยนไป หันมานิยมอาหารกระป๋อง และอาหารแช่แข็งกันมากขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการเรื่องสะดวกและรวดเร็วได้อย่างลงตัว
อาหารแช่แข็ง (Frozen Food) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการถนอมอาหาร โดยการเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า -20 องศา ซึ่งมีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีต่างๆ ช้าลง เพื่อยืดระยะเวลาในการเก็บรักษาให้นานขึ้น โดยที่ยังคงรสชาติของอาหารไว้ โดยเฉพาะอาหารสด เช่น กุ้ง เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ปลา เป็นต้น โดยเทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้สามารถรักษาคุณค่าของอาหารไว้ให้มากที่สุด
อาหารแช่งแข็งที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันมี 2 ประเภท ได้แก่
ความจริงแล้วอาหารแช่แข็งนั้นต้องผ่านกระบวนการแช่แข็ง ซึ่งสามารถเก็บรักษาเก็บความสด และคุณค่าทางอาหารได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งทุกขั้นตอนนั้นจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตสินค้าอาหาร (GMP) และระบบประกันคุณภาพเพื่อผลิตสินค้าอาหารที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค (HACCP) ฉะนั้น จึงมั่นใจได้ว่าอาหารแช่แข็งนั้นมีความสดเทียบเท่า หรืออาจจะมากกว่าอาหารสดทั่วไปด้วยซ้ำ แต่อันตรายจากอาหารแช่แข็งนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากผู้บริโภคไม่อ่านฉลากให้ถี่ถ้วน ตลอดจนเก็บรักษา, ละลาย และนำไปบริโภคอย่างผิดวิธี ซึ่งอันตรายที่พบโดยส่วนใหญ่มีดังนี้
คำแนะนำสุดท้ายที่ข้อฝากไว้คือ ไม่ควรนำอาหารแช่แข็งที่ละลายแล้วกลับไปแช่แข็งใหม่ เนื่องจากคุณภาพของอาหารจะลดลง และการเก็บรักษาในช่องแช่แข็งของตู้เย็นที่บ้านนั้นมีอุณหภูมิไม่ต่ำเท่าที่ควร อาจก่อให้เกิดอันตรายจากเชื้อจุลินทรีย์ได้ง่าย ซึ่งจุลินทรีย์นี้สามารถเติบโตได้ขณะทำการละลายครั้งแรก และหลังจากอาหารแช่แข็งละลาย ทั้งนี้ เมื่อละลายแล้วควรทานให้หมดหรือเก็บไว้ไม่เกิน 1-2 วันเท่านั้น
อาหารแช่แข็งไม่ได้ก่อให้เกิดโทษแต่อย่างไร หากผู้บริโภคอ่านฉลากที่ข้างกล่องและปฏิบิติตามอย่างถูกวิธี เพียงเท่านี้ก็อิ่มอร่อย สบายท้องกับอาหารที่มีคุณภาพแบบไม่เสียเวลากันแล้ว
อาหารแช่แข็ง (Frozen Food) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการถนอมอาหาร โดยการเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า -20 องศา ซึ่งมีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และทำให้ปฏิกิริยาทางเคมีต่างๆ ช้าลง เพื่อยืดระยะเวลาในการเก็บรักษาให้นานขึ้น โดยที่ยังคงรสชาติของอาหารไว้ โดยเฉพาะอาหารสด เช่น กุ้ง เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ปลา เป็นต้น โดยเทคโนโลยีนี้ได้รับการพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้สามารถรักษาคุณค่าของอาหารไว้ให้มากที่สุด
อาหารแช่งแข็งที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันมี 2 ประเภท ได้แก่
- อาหารแช่แข็งพร้อมปรุง (Ready-to-Cook) เป็นอาหารสดแช่แข็ง ซึ่งผ่านกระบวนการจัดเตรียมต่างๆ เช่น การทำความสะอาด ปอกเปลือก ถอดก้าง หั่นแล่เป็นชิ้นขนาดพอเหมาะ เพื่อให้อาหารนั้นพร้อมที่จะนำไปปรุงอาหารได้ทันที ซึ่งวิธีการนำไปใช้ ก็เพียงแค่นำออกจากช่องแช่แข็ง มาเข้าไมโครเวฟ ใช้โปรแกรม “ละลาย” หรือจะวางทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง หรือแช่น้ำ พอให้อาหารจับดูพอนิ่ม ก็สามารถนำไปปรุงอาหารได้ทันที
- อาหารแช่แข็งพร้อมทาน (Ready-to-Eat) เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงสุก และปรุงรสต่างๆ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงนำมาแช่แข็ง เพื่อเก็บรักษาความสด อร่อย และคุณค่าทางอาหารไว้ในตัวอาหาร ให้ความสะดวกสูงสุดในการเตรียมอาหาร เพียงนำไปเข้าไมโครเวฟ เลือกระดับไฟแรงสูงสุด ประมาณ 4 – 5 นาที ก็พร้อมรับประทานได้ทันที
ความจริงแล้วอาหารแช่แข็งนั้นต้องผ่านกระบวนการแช่แข็ง ซึ่งสามารถเก็บรักษาเก็บความสด และคุณค่าทางอาหารได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งทุกขั้นตอนนั้นจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตสินค้าอาหาร (GMP) และระบบประกันคุณภาพเพื่อผลิตสินค้าอาหารที่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค (HACCP) ฉะนั้น จึงมั่นใจได้ว่าอาหารแช่แข็งนั้นมีความสดเทียบเท่า หรืออาจจะมากกว่าอาหารสดทั่วไปด้วยซ้ำ แต่อันตรายจากอาหารแช่แข็งนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากผู้บริโภคไม่อ่านฉลากให้ถี่ถ้วน ตลอดจนเก็บรักษา, ละลาย และนำไปบริโภคอย่างผิดวิธี ซึ่งอันตรายที่พบโดยส่วนใหญ่มีดังนี้
- สารโพลีฟอสเฟต (Polyphosphates) ช่วยให้อาหารชุ่มชื้นอยู่ได้นาน มักใส่ในแฮมและเนื้อสัตว์แช่แข็ง สารโพลีฟอสเฟตสามารถถูกย่อยสลายเป็นฟอสเฟตโมเลกุลเล็กๆ ที่ร่างกายดูดซึมได้เหมือนกับร่างกายย่อยฟอสเฟตตามธรรมชาติและเป็นอันตรายต่อร่างกายน้อยมาก อย่างไรก็ตามอาหารแช่แข็งที่มีปริมาณสารโพลีฟอสเฟตมากเกินไปจะก่อให้เกิดอันตราย ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังได้ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจได้ว่าปลอดภัยต่อสุขภาพผู้บริโภคควรทำความสะอาดอาหารแช่แข็งโดยการล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำไปบริโภคทุกครั้ง
- ท้องเสีย หรือ ท้องร่วงรุนแรงจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในอาหารที่ปรุงไม่สุก อาทิ คลอสตริเดียม เพอร์ฟริงเกนส์, เชื้ออีโคไล,และซาลโมเนลลา เป็นต้น อาหารแช่แข็งบางประเภทนั้นยังไม่ผ่านกรรมวิธีการทำให้สุก ถึงแม้จะมีรูปลักษณ์เหมือนกับสุกแล้ว ดังนั้นผู้บริโภคควรจะต้องอ่านฉลากที่กำกับมาบนกล่องอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม การใช้ไมโครเวฟมักจะไม่สามารถทำให้อาหารสุกทั่วกันทั้งจาน จึงควรต้องตรวจสอบอุณหภูมิของอาหารทั้งจานเพื่อดูว่าอาหารนั้นร้อนได้ที่และสุกทั่วถึงดีแล้ว นอกจากจะต้องระวังเรื่องการปรุงอาหารให้สุกดีแล้วนั้น ขั้นตอนการละลายก็สำคัญ เพราะหากละลายไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้เชื้อจุลินทรีย์เติบโตได้เช่นกัน
- สารละลายจากภาชนะพลาสติกสู่อาหาร ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและเบาหวานได้ เนื่องจากพลาสติกแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการทนความร้อนต่างกัน และพลาสติกที่ใช้บรรจุอาหารแช่แข็งนั้นจะทำมาจาก PE Film (Polyethylene) ซึ่งสามารถทนความเย็น แต่ทนความร้อนได้ไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส สารอันตรายที่พบว่าสะสมในร่างกายคือ สารไบฟีนอล เอ (Biphenol Aหรือ BPA) เป็นสารเคมีที่ใช้ทั่วไปในการผลิตภาชนะพลาสติก อย่างไรก็ตามเราสามารถป้องกันอันตรายจากสารเคมีในพลาสติกได้ ดังนั้น ควรอ่านฉลากว่ากล่องที่บรรจุมานั้นสามารถใส่ไมโครเวฟได้เลยหรือไม่ ไม่ควรนำพลาสติกที่ใช้ได้ครั้งเดียวกลับมาใช้ใหม่ และพลาสติกที่ใช้บรรจุอาหารต้องไม่มีสี
คำแนะนำสุดท้ายที่ข้อฝากไว้คือ ไม่ควรนำอาหารแช่แข็งที่ละลายแล้วกลับไปแช่แข็งใหม่ เนื่องจากคุณภาพของอาหารจะลดลง และการเก็บรักษาในช่องแช่แข็งของตู้เย็นที่บ้านนั้นมีอุณหภูมิไม่ต่ำเท่าที่ควร อาจก่อให้เกิดอันตรายจากเชื้อจุลินทรีย์ได้ง่าย ซึ่งจุลินทรีย์นี้สามารถเติบโตได้ขณะทำการละลายครั้งแรก และหลังจากอาหารแช่แข็งละลาย ทั้งนี้ เมื่อละลายแล้วควรทานให้หมดหรือเก็บไว้ไม่เกิน 1-2 วันเท่านั้น
อาหารแช่แข็งไม่ได้ก่อให้เกิดโทษแต่อย่างไร หากผู้บริโภคอ่านฉลากที่ข้างกล่องและปฏิบิติตามอย่างถูกวิธี เพียงเท่านี้ก็อิ่มอร่อย สบายท้องกับอาหารที่มีคุณภาพแบบไม่เสียเวลากันแล้ว